Avareum Market Outlook 2024: Bitcoin Analysis
Bitcoin Price vs Trading Volume
ในช่วงต้นปี 2023 ราคาของ Bitcoin ก็ค่อยๆ ปรับตัวขึ้นเรื่อยจากจุด Bottom ที่ $16,000 ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 นั้นมีปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ $50B - $70B ก่อนที่ปริมาณการเทรดจะลดลงไปอีกครั้งหลังช่วงกลางเดือนมีนาคม และราคาของ Bitcoin ก็ได้ปรับตัวลดลงอีกครั้งไปอยู่ที่ $25,000 ในวันที่ 15 มิถุนายน ก่อนที่วันที่ 16 มิถุนายนจะมีการประกาศจากทาง Blackrock ในการยื่นขอเปิด Bitcoin ETF กับทาง SEC ซึ่งกระแสข่าวตรงนี้สร้าง Positive Sentiment ให้กับ Bitcoin จนทำให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งไปแตะ $31,000 แต่ข่าวดีดังกล่าวก็ไม่ได้
ทำให้ปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นเหมือนช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 โดยที่ระดับปริมาณการเทรดอยู่ในช่วง $10B - $20B เท่านั้น นั้นแสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องได้หายไปจากตลาดพอสมควร และราคา Bitcoin ได้ปรับตัวลดลงจากความผิดหลังจากนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่ทาง SEC นั้นทำการเลื่อนการพิจารณา Bitcoin ETF ออกไป โดยทาง SEC สามารถเลื่อนการพิจารณาออกไปอย่างช้าที่สุด รอบสุดท้ายคือเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งปีหน้าอาจจะเป็นปีที่มีเหตุการณ์ที่ช่วยกระตุ้นราคา Bitcoin ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณา Bitcoin ETF ของหลาย ๆ Firm และ Bitcoin Halving ที่เกิดขึ้นในช่วงประมาณเดือนเมษายน 2024
Bitcoin Mining Hash Rate 2023
จากภาพ Hash Rate ตั้งแต่ปี 2018 หลังจากมีการ Crash ของตลาด Crypto ตอนที่ราคา Bitcoin ทำ All Time High ในช่วงเดือนธันวาคม 2017 นั้น ก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยเราจะสังเกตเห็นว่าในช่วงปี 2018 เมื่อราคา Bitcoin หลุดแนวรับสำคัญที่ $6,000 ช่วงนั้นหลายๆคนที่ทำการขุด Bitcoin (Bitcoin Mining) ทำการหยุดขุดไป
เนื่องจากราคา Bitcoin ไม่สามารถที่จะครอบคลุมต้นทุนในการขุดได้ ทำให้ Hash Rate ลดลง ณ ช่วงเวลาหนึ่งจาก 51B ลดลงเหลือ 30B ในจุดที่ราคาของ Bitcoin อยู่ที่ $3,000 และหลังจากนั้น Hash Rate ก็ค่อย ๆ Recovery ขึ้นมาเรื่อย ๆ เนื่องจากมีคนที่ต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกในการใช้ผลิต 1 Bitcoin ได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นทำให้ปริมาณ Hash Rate นั้นเพิ่มกลับมาเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงจากเดิม
เมื่อราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่า $6,000 โดยในปี 2021 เมื่อราคา Bitcoin ขึ้นไปแตะ $60,000 ทำให้ Hash Rate ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในปี 2021 ที่ 2T ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรง หลังจากเกิดเหตุ Luna Crash ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม มาเหลือกำลังการขุดอยู่ที่ 87B ก่อนที่เหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนช่วงปี 2018 ที่กำลังการขุดจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ จากคนที่มีต้นทุนในเรื่องของค่าไฟที่ถูกกว่าหรือมี Credit ในการกู้เงินมาขยายกำลังการขุดเพิ่มขึ้น
ในช่วงเดือนกันยายน 2022 ทางฝั่งรัฐบาลจีนได้มีการ Ban “Crypto Currency” และมีการ Shut down บริษัทที่ประกอบกิจการขุด Bitcoin ในจีน ทำให้หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับ Bitcoin เนื่องจากกิจกรรมการขุด Bitcoin นั้นถือว่าเป็นเสาหลักสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมและบันทึกลงบน Blockchain เนื่องจาก Bitcoin Consensus ยังคงเป็น Proof of Work (PoW) อยู่ ทำให้กำลังการขุด Bitcoin จากที่ประเทศจีนถือว่าเป็นแหล่งที่มี Hash Power สูงที่สุดในโลก ลดลงมาอยู่อันดับที่ 2 โดยในปัจจุบันประเทศที่มีกำลังการขุด Bitcoin สูงสุดคือ สหรัฐอเมริกา
โดยในช่วงปี 2022 เป็นช่วงที่ยากลำบากของ Bitcoin Mining Company พอสมควร เนื่องจากมีการปรับตัวลดลงของราคา Bitcoin จาก $68,000 ลดลงมาเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี จนมาทำจุดต่ำสุดที่ประมาณ $16,000 ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ซึ่งราคา Bitcoin นั้นมีผลทำให้ Profit Margin ของบริษัท Bitcoin Mining ลดลง โดยนอกจากตัวแปรในเรื่องของราคา Bitcoin แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกไม่ว่าจะเป็น ค่า Maintenance อย่างเช่น Infrastructure, ค่าไฟฟ้าที่ใช้เป็นพลังงานหลักในการรันเครื่อง Bitcoin Mining, เงินเดือนพนักงาน, ค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเงินกู้ที่บริษัทกู้เงินมาขยายกำลังการผลิต และอื่น ๆ
ซึ่งบริษัทที่ประสบปัญหาในปี 2022 จนกระทั่งต้องยื่นล้มละลายในมาตราที่ 11 (Bankruptcy Chapter 11) ในวันที่ 21 ธันวาคม 2022 นั้นก็คือ “Core Scientific” โดยการยื่นล้มละลายต่อศาลครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการ Shutdown Operation ทันทีแล้วบังคับขายสินทรัพย์ต่าง ๆ แต่จะมีการพูดคุยในเรื่องการ Restructure ก่อนเป็นอันดับแรกถ้าผู้ถือหุ้นของ Core Scientific เห็นชอบด้วย ก็จะมีการปรับแผนธุรกิจต่าง ๆ เช่นในการเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทก่อนในการขยายกำลังการผลิต และวางแผนในการลดการใช้พลังงานในการขุด Bitcoin เพื่อลดต้นทุน ซึ่งหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อต้นทุนคือ “ค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้า (Electricity Cost)” โดยทาง Core Scientific ได้รับอนุญาตจากทางศาลในการกู้เงินจาก B. Riley ที่เป็น Investment Bank สูงถึง $70M
จากข้อมูลข้างต้นเราได้เห็นแล้วว่าสหรัฐอเมริกามี Hash Power สูงเป็นอันดับ 1 ของโลกในการขุด Bitcoin โดยที่หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผลกำไรของคนขุด Bitcoin ลดลงนอกเหนือจากราคา Bitcoin ที่ปรับตัวลดลงแล้ว ยังมีต้นทุนในเรื่องค่าไฟฟ้าอีก โดยเราจะมาดูว่ารัฐไหนในสหรัฐอเมริกามีต้นทุนเท่าไรกันบ้าง
New Mexico เป็นรัฐที่มีต้นทุนในการผลิต 1 Bitcoin ถูกที่สุด ทำให้เป็นรัฐที่สามารถสร้างกำไรส่วนต่างจากการขุด Bitcoin กับราคาตลาดในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2023 ได้มากกว่ารัฐอื่น ๆ โดยมีต้นในการผลิต 1 Bitcoin อยู่ที่ $16,850 ในทางตรงกันข้ามรัฐที่มีต้นทุนสูงที่สุดในการผลิต 1 Bitcoin คือ Hawaii โดยมีต้นทุนอยู่ที่ $114,590
เมื่อเร็ว ๆ นี้ บางรัฐของสหรัฐอเมริกา Arkansas, Montana, Missouri, Mississippi และรัฐอื่น ๆ ได้ดำเนินการบางอย่างเพื่อให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นในการปกป้อง Crypto Miners จากภาษีและกฎระเบียบที่มากเกินไป ในทางกลับกัน Texas ได้แก้ไขระบบสาธารณูปโภคและเรื่องภาษี เพื่อที่จะสนับสนุนและทำลายข้อจำกัดของบริษัทที่ขุด Bitcoin
Energy Deflation
นักวิจัยคาดว่าอัตรากำไรจากการขุด Bitcoin จะเพิ่มขึ้นอีก ตามการคาดการณ์ของสมาคมข้อมูลพลังงานสหรัฐ (EIA) เกี่ยวกับภาวะเงินฝืดของราคาพลังงาน โดยทาง EIA คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดลง 1% ในไตรมาสที่ 2 โดยอ้างถึงการผลิตเพิ่มเติมจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน (Renewable Source) และราคาก๊าซธรรมชาติที่ถูกลง
นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าราคาก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) จะยังคงต่ำกว่า $3 ในปี 2566 เทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 2565 ที่ $6.45 โดย ณ ปัจจุบันราคาของ Natural Gas อยู่ที่ประมาณ $3
ซึ่งราคาของ Natural Gas มีผลค่อนข้างมากกับราคาของไฟฟ้า เนื่องจาก Natural Gas เป็นส่วนประกอบของการผลิตไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาถึง 40% จากข้อมูลของ EIA ในปี 2022