Subscribe to Our Newsletter

Success! Now Check Your Email

To complete Subscribe, click the confirmation link in your inbox. If it doesn’t arrive within 3 minutes, check your spam folder.

Ok, Thanks
Crypto Narrative 2024: Web 3.0 and Blockchain Adoption

Crypto Narrative 2024: Web 3.0 and Blockchain Adoption

Avareum Research profile image
by Avareum Research

Introduction to Web 3.0 and Blockchain Technology

ประเด็นสำคัญ

Web 3.0 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “Semantic Web” หรือ “Decentralized Web” นับเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกดิจิทัล โดยนำเสนอประสบการณ์ส่วนบุคคล ผ่านระบบสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) และการทำงานแบบกระจายอำนาจ (Decentralization)

โดย Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการปฏิวัติครั้งนี้ นอกจากนี้ยังนำเสนอศักยภาพอย่างมหาศาล ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติอยู่บ้างก็ตาม

รูปภาพที่ 1: Current Web vs. Semantic Web

อินเทอร์เน็ตมีวิวัฒนาการมาจาก Web 1.0 (Read-Only) ที่เป็นพื้นฐาน ไปจนถึงยุคเนื้อหาเชิงโต้ตอบที่ผู้ใช้สร้างขึ้นของ Web 2.0 (Two Ways Communication)

ในขณะนี้เรายืนอยู่ระหว่างทางของ Web 3.0 ซึ่งเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตจะไม่เพียงเชื่อมต่อถึงกันเท่านั้น แต่ยังสามารถตีความข้อมูลแบบใหม่ได้ด้วย จึงสามารถให้บริการที่เป็นส่วนตัวและชาญฉลาดมากขึ้น

เทคโนโลยี Blockchain เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่อะไรคือความหมายสำหรับนักลงทุนที่เข้าสู่พรมแดนดิจิทัลนี้ จะกล่าวถึงในส่วนถัดไป

The Role of Blockchain in Web 3.0

ระบบอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันใหม่ Web 3.0 หรือที่มักถูกเรียกว่า "Semantic Web" หรือ "Internet of Value" หรือระบบอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่านั้น คือการเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Web2.0) เป็นระบบที่สามารถโต้ตอบกันโดยตรงแบบ Peer-to-Peer โดยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลาง การเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจแบบดั้งเดิม โดยมีอิทธิพลต่อกรอบการดำเนินงาน กลยุทธ์การมีส่วนร่วมกับลูกค้า และการนำเสนอคุณค่า

Web 3.0 นำแนวทางใหม่มาสู่สถาปัตยกรรมข้อมูลและการจัดการ แทนที่จะเก็บบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลและการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น Blockchain, Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning คุณสมบัติถัดมา คือ ความสามารถของ Blockchain ในการดำเนินการผ่าน Smart Contract โดยอัตโนมัติและปราศจากตัวกลางจะทำให้การบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังที่เห็นได้จากการเงินแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Finance, DeFi)

ทำให้ Web 3.0 เป็นแพลตฟอร์มที่มีการกระจายข้อมูลและบริการ ส่งเสริมความโปร่งใส ความปลอดภัย และการควบคุมโดยผู้ใช้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากระบบรวมศูนย์เป็นระบบกระจายอำนาจ ก่อให้เกิดทั้งโอกาสและความท้าทายต่อธุรกิจแบบดั้งเดิม เปิดช่องทางใหม่สำหรับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การสร้างความไว้วางใจ และบริการที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่ต้องการให้ธุรกิจทบทวนรูปแบบ เทคโนโลยี และกลยุทธ์ที่มีอยู่

ถัดมาคือ รากฐานที่สำคัญของ Web 3.0 คือการกระจายอำนาจ ซึ่งสวนทางกับ Web 2.0 แบบรวมศูนย์ในปัจจุบัน ซึ่งตัวข้อมูลและการควบคุมถูกถือครองโดยหน่วยงานขนาดใหญ่

รูปภาพที่ 2: Zyskind, G., Nathan, O., & Pentland, A. S. (2015, May)

Blockchain เป็นส่วนสำคัญของการกระจายอำนาจนี้ โดยที่กระจายอำนาจนั้นยังสามารถนำมาซึ่งความโปร่งใส ความปลอดภัย และถูกแทรกแซง ยึดเอาไป ยกเลิกสิทธิ์ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นจึงสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Web 3.0 อย่างสมบูรณ์แบบ

Catalysts for Web 3.0 Transition

  1. การกระจายอำนาจ: ศูนย์กลาง Web 3.0 คือหลักการของการกระจายอำนาจ ซึ่งแตกต่างจาก Web2.0 ที่ซึ่งข้อมูลและการควบคุมอยู่กับหน่วยงานขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง Web 3.0 มีเป้าหมายเพื่อกระจายข้อมูลและการควบคุม ทำให้ผู้ใช้มีอิสระมากขึ้นและเป็นเจ้าของข้อมูลของตน และสินทรัพย์ดิจิตอลอื่น ๆ อย่างแท้จริง
  2. การทำงานร่วมกัน: ใน Web 3.0 ข้อมูลได้รับการออกแบบให้ทำงานร่วมกันได้ ทำให้ระบบ อุปกรณ์ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ  สามารถสื่อสารระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไร้รอยต่อ นำเสนอประสบการณ์ผู้ใช้แบบบูรณาการและเป็นส่วนตัวมากขึ้น
  3. อำนาจอธิปไตยของผู้ใช้: Web 3.0 เกี่ยวกับการให้อำนาจแก่ผู้ใช้ เปลี่ยนการควบคุมข้อมูลจากองค์กรเป็นบุคคล ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุม จัดการ และสร้างรายได้จากข้อมูลของตนหากต้องการ

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว Web2.0 ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันปัจจุบัน ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูล อนุญาตให้ผู้ใช้สร้างและแชร์เนื้อหาแบบโต้ตอบ ทำให้เกิด Social Media Blog และ e-Commerce

อย่างไรก็ตาม Web2.0 มีข้อบกพร่องที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของข้อมูล ความเป็นส่วนตัว และการควบคุม ใน Web2.0 บริษัทขนาดใหญ่จะควบคุมข้อมูลเป็นหลัก และผู้ใช้มีข้อจำกัดในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตน สิ่งนี้นำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว การใช้ข้อมูลในทางที่ผิด และอำนาจผูกขาด

ในทางตรงกันข้าม Web 3.0 พยายามแก้ไขข้อกังวลเหล่านี้ด้วยการสร้างเว็บที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลางมากขึ้น โดยที่แต่ละบุคคลจะเป็นเจ้าของข้อมูล ส่งเสริมความเป็นส่วนตัว ความไว้วางใจ และการแลกเปลี่ยนคุณค่า ทำสิ่งนี้ผ่านการรวมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น  Blockchain และ AI

The Significant Impact of Web 3.0 on Businesses

รูปภาพที่ 3:Evolution of Decentralized Web

ประการแรก:
ช่วยให้ธุรกิจสามารถย้ายออกจากแพลตฟอร์มส่วนกลางและสร้างระบบของตน ซึ่งให้การควบคุมและความยืดหยุ่นที่มากขึ้น ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ  สามารถสร้างบริการที่เป็นส่วนตัว ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและความภักดี

ประการที่สอง:
Web 3.0 ช่วยให้ธุรกิจมีช่องทางใหม่ในการสร้างรายได้ เมื่อผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลได้มากขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ  จึงสามารถมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรงด้วยความยินยอมกับลูกค้า สร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประการสุดท้าย:
Web 3.0 ส่งเสริมความไว้วางใจและความโปร่งใส ด้วยบัญชีแยกประเภทที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่านระบบ  Blockchain  ธุรกิจสามารถบันทึกธุรกรรมได้อย่างโปร่งใส ส่งเสริมความไว้วางใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปใช้ Web 3.0 ไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน จำเป็นต้องมีการทบทวนรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิม การพัฒนาความสามารถใหม่ และการนำทางผ่านความไม่แน่นอนทางกฎหมายและข้อบังคับ ส่วนต่อๆ ไปของบทความนี้จะลงลึกในประเด็นเหล่านี้ โดยนำเสนอความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับศักยภาพและความท้าทายของการนำ Web 3.0 มาใช้

กล่าวโดยสรุป Web 3.0 เป็นตัวแทนของยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ต โดดเด่นด้วยการกระจายอำนาจ การทำงานร่วมกัน และอำนาจอธิปไตยของผู้ใช้ มีศักยภาพในการปรับโฉมธุรกิจอย่างมากมายมหาศาล แต่การตระหนักถึงศักยภาพนี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแนวคิด ผลที่ตามมา และความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในขณะที่อินเทอร์เน็ตมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจต่าง ๆ  ที่เข้าใจและปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นเพื่อการเติบโตและขยายตัวของ Web 3.0

Web3 and Blockchain Protocols Landscape

รูปภาพที่ 4: The Web3 Stack

ระบบ Layers นั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ จากฐานสู่ชั้นบนสุด ที่ User นั้นคุ้นเคยได้แก่

1. Network Layer

Network Layer ช่วยสร้างรากฐานของภูมิทัศน์ Web3 ไม่ว่าจะใช้ระบบ Ethereum Virtual Machine (EVM) ที่เป็นที่นิยมพูดถึงหรือไม่ก็ตาม บล็อกเชนเหล่านี้ช่วยให้ลักษณะการกระจายอำนาจและการกระจายข้อมูลของ Web3 นั้นเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยสนับสนุนในส่วนอื่น ๆ 

2. Blockchain Interaction Layer

Layer นี้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่าง Application และเครือข่ายบล็อกเชนพื้นฐาน มีเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับนักพัฒนาในการเข้าถึงและจัดการข้อมูลบนบล็อกเชน เช่น วิธีการเข้าถึงข้อมูลและตัวสำรวจบล็อกเชน

3. Presentation Layer

Layer การนำเสนอทำให้โลกที่ซับซ้อนของบล็อกเชนและ Web3 นั้นเข้าถึงและใช้งานได้สำหรับนักพัฒนาผ่านเครื่องมือต่าง ๆ  เช่น Libraries ข้อมูลในระบบ Web3 ชุดเครื่องมือของนักพัฒนาโปรแกรม และการแก้ปัญหาพื้นที่จัดเก็บไฟล์แบบกระจายอำนาจ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้สามารถสร้าง Web3 Application ที่ซับซ้อนมากๆ ได้สะดวกขึ้นและเป็นมิตรกับผู้ใช้

4. Application Layer

Layer นี้เป็นจุดโต้ตอบหลักสำหรับผู้บริโภคในโลก Web3 ด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ  เช่น DeFi กลไกการระบุตัวตนและการพิสูจน์ตัวตน NFT และการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ On-Chain ขั้นสูง Layer นี้ช่วยให้ธุรกรรมและการโต้ตอบแบบ peer-to-peer มีลักษณะกระจายอำนาจในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

Network Layer

รูปภาพที่ 5: Network Layer

Network Layer ประกอบด้วยเครือข่าย Blockchain ต่าง ๆ ที่ มี Application แบบกระจายอำนาจ

Ethereum Virtual Machine (EVM)-Based Blockchains: EVM รันสัญญาอัจฉริยะบน Ethereum และเครือข่ายอื่น ๆ  ที่เข้ากันได้ ตัวอย่างเช่น Ethereum, Polygon และ Binance Smart Chain)

บล็อกเชนที่ไม่ใช้ EVM: บล็อกเชนเหล่านี้มอบประโยชน์ทางสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร ตัวอย่างเช่น Solana ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการประมวลผลธุรกรรมความเร็วสูง, Polkadot และ Cosmos ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ  (Interoperability)

กล่าวโดยสรุป โลกของ Web3 และบล็อกเชนเป็นสถาปัตยกรรมหลายชั้นที่มีรากฐานมาจากการกระจายอำนาจ ความโปร่งใส และการโต้ตอบแบบ Peer to Peer การทำความเข้าใจ Layer และหมวดหมู่เหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจรากฐานของอนาคตของอินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์

Blockchain Interaction Layer

รูปภาพที่ 6: Blockchain Interaction Layer

โปรแกรมเหล่านี้เน้นอำนวยความสะดวกในการพัฒนาระบบโต้ตอบของนักพัฒนากับ blockchain เป็นหลัก

  • Web3 Data Access: เครื่องมือเช่น Web3.js และ Ethers.js ช่วยให้นักพัฒนาสามารถอ่านและเขียนข้อมูลไปยังบล็อกเชนได้
  • Blockchain Explorers: Blockchain explorer ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูธุรกรรมและกิจกรรมบน Blockchain ไม่ว่าจะเป็น Etherscan สำหรับ Ethereum, BscScan ที่ใช้ในการดูข้อมูลธุรกรรมบน Binance Smart Chain หรือแม้แต่กระทั่ง SolScan ที่เป็น Solana Explorer เป็นตัวเลือกยอดนิยม จุดเด่นของระบบข้อมูลที่โปร่งใสเปิดเป็น Open Source เปิดโอกาสให้ผู้มีความประสงค์สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลได้เต็มที่และเป็นแบบ Real Time

Presentation Layer

รูปภาพที่ 7: Presentation Layer

Layer นี้ประกอบด้วยเครื่องมือและ Libraries ที่นักพัฒนาใช้เพื่อสร้าง Web3 Application

Note: Web3 Native Libraries เช่น Web3.js และ Ethers.js ช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินการโต้ตอบภายในระบบบล็อกเชน เช่น การอ่านข้อมูลและปรับใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ประเด็นนี้อาจเกี่ยวข้องกับศัพท์ทางเทคนิคเล็กน้อยเนื่องจากเกี่ยวข้องกับระบบ Coding นั่นเอง

ตัวอย่างของ Application กลุ่มนี้ได้แก่

  • Developer Environment Software: เครื่องมือเช่น Truffle และ Hardhat นำเสนอสภาพแวดล้อมสำหรับนักพัฒนาในการเขียน ทดสอบ และปรับใช้ Web3 Application ของตน ซึ่งเป็น Applications เฉพาะสำหรับโปรแกรมเมอร์
  • Web3 Data Solution: Web3 นำเสนอพื้นที่จัดเก็บแบบกระจายศูนย์ โดยมี IPFS (Interplanetary File System) และ Filecoin เป็นตัวอย่างที่สำคัญ ซึ่งให้พื้นที่จัดเก็บไฟล์แบบกระจายตัวไปทั่วโลกผ่านผู้เข้าร่วมระบบที่ไร้นาม ที่ปลอดภัยกว่าระบบจัดเก็บแบบเดิม ที่พึ่งพา Servers เพียงไม่กี่แห่ง ทำให้การถูกโจมตีหรือ Hack ระบบเพื่อดึงข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือถูกดัดแปลงแก้ไขนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้จะเพิ่มมาตรฐานการใช้งานหรือโอกาสทางธุรกิจได้อีกมาก
รูปภาพที่ 8: Filecoin Network Stats
รูปภาพที่ 9: Infratructure by DSCI

Application Layer

รูปภาพที่ 10: Decentralized Application Layer

Web3 Application Layer สิ่งที่เราพบเห็นและเกี่ยวข้อง เป็นที่ที่ผู้ใช้โต้ตอบกับ Application ที่เปิดใช้งานบนระบบบล็อกเชน ผู้เขียนขอใช้เวลากับส่วนนี้มากที่สุด เพราะน่าจะเป็นส่วนที่ผู้อ่านน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด หรือมีโอกาสได้ร่วมใช้งานมากที่สุดนั่นเอง ในส่วนนี้อาจจะยกตัวอย่าง Application บางส่วนเท่านั้น

ระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi)

DeFi Application กำลังเปลี่ยนโฉมระบบการเงินแบบดั้งเดิมด้วยการสร้างบริการที่โปร่งใสและสามารถเชื่อใจได้ยิ่งกว่าผ่านคนกลาง ตัวอย่าง ได้แก่ MakerDAO ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเครดิตแบบกระจายอำนาจ และ Uniswap ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการซื้อขาย Token แบบไร้ศูนย์กลางและไม่มีตัวกลางอย่าง Market Maker ในการให้สภาพคล่อง แต่จะให้บุคคลภายนอกมามีส่วนร่วมกับทางแพลตฟอร์มในการมาให้สภาพคล่อง (Liquidity Provider) กับระบบและได้รับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเมื่อมีคนมาซื้อขายบนแพลตฟอร์ม

กลไกการระบุยืนยันและการพิสูจน์ตัวตน Identified Application

Web3 Identifying Application ส่งเสริมการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย ตัวอย่างคือ uPort ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ Ethereum ซึ่งให้ตัวตนที่ปลอดภัยและมีสิทธิ์รวมถึงอำนาจควบคุมแก่ผู้ใช้

Non-Fungible Tokens (NFTs) Application

NFTs เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร แพลตฟอร์มเช่น OpenSea และ Rarible ได้กลายเป็นตลาดที่มีการซื้อ ขาย และแลกเปลี่ยนสินค้าดิจิทัลที่ไม่เหมือนใครเหล่านี้ โดยไม่ต้องผ่าตัวกลางหรือคนกลาง ผลลัพธิ์นั้นประหนึ่ง Shopee หรือ Lazada ในเวอร์ชันที่สะดวก ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย รวมถึงความปลอดภัยที่สูงกว่า

การบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลใน Web3 ช่วยเพิ่มความโปร่งใส และยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้หากปราศจากการรับรู้และยินยอมจากระบบความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น Ocean Protocol ช่วยให้บุคคลและธุรกิจสามารถสร้างรายได้และแบ่งปันข้อมูลโดยไม่สูญเสียความเป็นส่วนตัวเลยนั้น ช่วยขยายศักยภาพให้กับธุรกิจได้อีกมาก

Web3 GameFi and Metaverse: การผสมผสานระหว่างการเล่นเกม โลกเสมือนและ DeFi ทางฝ่ายวิจัย Avareum มีความเห็นว่า โลกเสมือนบนระบบดิจิตอลจะค่อยๆเข้ามามีส่วนแบ่งจากโลกระบบเดิมมากขึ้นๆ นั่นคือ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนตั้งแต่ Gen Y ลงมา ที่คุ้นชินกับเทคโนโลยีเหล่านี้ หรือ เด็กยุคใหม่ที่เติบโดมาพร้อมกันผ่าน Platform ต่าง ๆ  เช่น Roblox

โลกเสมือนบนดิจิตอลได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีการเพิ่มเติมกฎระเบียบ รวมถึงแนวโน้มการเข้ามากำกับควบคุมผ่านหน่วยงานต่าง ๆ  ที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่

ระบบเศรษฐกิจที่ผู้เล่นเป็นเจ้าของสินทรัพย์ได้แท้จริง

เกมอย่าง Axie Infinity ช่วยให้ผู้เล่นได้รับ Token และ NFTs ผ่านการเล่นเกม สินทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ถือครองอย่าแท้จริง ด้วยระบบ Blockchain ได้ถูกกำหนดไว้ว่า ทาง Platform ไม่สามารถเรียกคืนหรือปรับเปลี่ยนมูลค่าได้ รวมถึงพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนหรือขายบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไว้อย่างอิสระ เศรษฐกิจที่ผู้เล่นเป็นเจ้าของเหล่านี้นำเสนอช่องทางใหม่สำหรับนักเล่นเกมในการสร้างรายได้จากทักษะและเวลาที่ใช้ในการเล่นเกม รวมไปถึงผู้ประกอบที่เกี่ยวข้องในระบบเช่น Sponsors โฆษณาต่าง ๆ รวมถึงนักลงทุนล้วนสามารถไว้วางใจจากความโปร่งใสจของการดำเนินการของบริษัท การตรวจสอบงบการเงินและระบบบริหารที่โปร่งใส

เกมที่ใช้ Blockchain ที่ถือเป็นต้นแบบ: 

CryptoKitties เป็นหนึ่งในเกมแรก ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ผู้เล่นสามารถรวบรวมและเพาะพันธุ์แมวดิจิทัลที่ไม่ซ้ำใครได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ The Sandbox ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริงบนบล็อกเชนที่ผู้เล่นสามารถสร้าง เป็นเจ้าของ และสร้างรายได้จากประสบการณ์การเล่นเกมของตน บนพื้นที่เปิดในระบบ ปัจจุบันก็มีบริษัทชั้นนำระดับโลกเข้าไปถือครองที่ดินใน Platform ดังกล่าว

แพลตฟอร์มลงทุนในธุรกิจ GameFi: 

เป็นแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกในการผสมผสานระหว่างเกมและ DeFi ตัวอย่างเช่น Yield Guild Games (YGG) เป็นสมาคมเกมแบบกระจายอำนาจของผู้เล่นและนักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนจากเกมที่ใช้ NFT

Web3 Metaverse and Decentralized Social Platform (DeSo): 

วิวัฒนาการของจักรวาลดิจิทัลแพลตฟอร์มโลกความจริงเสมือน: แพลตฟอร์มเช่น Decentraland และ Cryptovoxels กำลังสร้างโลกเสมือนจริงบนบล็อกเชน แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเป็นเจ้าของที่ดิน สร้างโครงสร้าง สร้างงานศิลปะ และแม้แต่ดำเนินธุรกิจในพื้นที่เสมือน

Web3 Decentralized Social Platform: 

โซเชียลเน็ตเวิร์กบนบล็อกเชน เช่น BitClout กำลังพยายามกระจายอำนาจของโซเชียลมีเดียโดยนำความเป็นเจ้าของเครือข่ายและมูลค่ากลับคืนสู่มือของผู้ใช้ ซึ่งในปัจจุบันตัว BitClout ได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น Decentralized Social Network (DeSo) ที่มี Protocol ต่าง ๆ สร้างบนนี้อีกมากมายที่เหมือนกับโลก Web2 ไม่ว่าจะเป็น Protocol ที่เหมือนกับ Facebook, Twitter, Instagram, Youtube ก็มีบน DeSo เช่นกัน

  • Twitter → Diamond Protocol
  • Telegram → DeSo Chat Protocol
  • Facebook → Densify
  • Spotify → Mousai
รูปภาพที่ 11: How Bitclout Works

หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ดิจิทัล:

 KnownOrigin และ The Museum of Crypto Art (MOCA) เป็นสถานที่สำหรับศิลปินดิจิทัลในการแสดงและขายงานศิลปะของพวกเขาในรูปแบบ NFT และสำหรับผู้อื่นในการเยี่ยมชมและซื้องานศิลปะ พวกเขานำเสนอแนวทางใหม่ในการสัมผัสและเป็นเจ้าของงานศิลปะใน Metaverse

Transition from Web 2.0 to Web 3.0

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิมเพื่อรับหลักการ Web 3.0 นั้นเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในแนวทางของเทคโนโลยี ข้อมูล การกำกับดูแล และการโต้ตอบกับลูกค้า แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะให้ประโยชน์อย่างมาก แต่ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นอย่างมากในวิธีการดำเนินธุรกิจ เรามาเจาะลึกถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงและความหมายของมันกัน โดยทั่วไปการเปลี่ยนไปใช้ Web 3.0 จะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่อไปนี้

1. ตัวอย่างการบูรณาการเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นของบริษัทชั้นนำ

ขั้นตอนแรกในการเปลี่ยนไปใช้ Web 3.0 คือการผสานรวมเทคโนโลยีพื้นฐาน โดยพื้นฐานแล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้และการรวมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning และเทคโนโลยีอื่น ๆ  เช่น Web 3.0 Wallet, Metaverse และ  Blockchain  ในกระบวนการทางธุรกิจ Blockchain  มีระบบบัญชีแยกประเภทที่กระจายอำนาจและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เป็นแกนหลักซึ่งหมายถึงสามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (Dapps) หรือแพลตฟอร์มที่สามารถอำนวยความสะดวกในการโต้ตอบโดยตรงระหว่างบุคคล หรือ แบบ Peer-to-Peer ตัวอย่างเช่น De Beers บริษัทเพชรยักษ์ใหญ่ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสร้าง Tracr ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่บันทึกการเดินทางของเพชรจากเหมืองไปยังผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความไว้วางใจในทางกลับกัน AI และ ML มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้กระบวนการทางธุรกิจเป็นไปโดยอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพ สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลและสร้างข้อมูลเชิงลึกที่สามารถช่วยปรับปรุงการตัดสินใจ การบริการลูกค้า และประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์บนคลาวด์ ผสานรวม AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าที่เป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. การกระจายอำนาจ

ขั้นตอนที่สองในการเปลี่ยนแปลงคือการกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของ Web 3.0 การกระจายอำนาจเกี่ยวข้องกับการย้ายออกจากหน่วยงานส่วนกลางที่ควบคุมข้อมูลและกระบวนการไปยังแบบจำลองที่มีการกระจายการควบคุมระหว่างผู้ใช้ การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเห็นได้ในกรณีของ Spotify ซึ่งเป็นบริการสตรีมเพลงแบบรวมศูนย์ ด้วยเทคโนโลยี Blockchain  มีศักยภาพสำหรับแพลตฟอร์มแบบกระจายอำนาจที่ศิลปินสามารถโต้ตอบโดยตรงกับผู้ฟังของพวกเขา ตัดคนกลางออก และรับประกันการชดเชยที่ยุติธรรมกว่า

3. การใช้งานระบบสัญญาอัจฉริยะ หรือ Smart Contract

สัญญาอัจฉริยะ เป็นระบบโปรแกรมที่ดำเนินการเองได้โดยอัตโนมัติเมื่อตรงตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของ Web 3.0 ธุรกิจต่าง ๆ  สามารถใช้สัญญาอัจฉริยะเพื่อทำให้กระบวนการเป็นอัตโนมัติ ลดการแทรกแซง รับประกันความโปร่งใสและประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น AXA Insurance แนะนำนโยบายการประกันตามสัญญาอัจฉริยะสำหรับความล่าช้าของเที่ยวบิน ซึ่งจะชดเชยให้ลูกค้าโดยอัตโนมัติหากเที่ยวบินของพวกเขาล่าช้าเกินกว่าสองชั่วโมง ซึ่งลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า

แต่ละขั้นตอนเหล่านี้มีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจในเรื่องการผสานรวมเทคโนโลยี แต่แลกมากับการเพิ่มประสิทธิภาพและการบริการลูกค้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างมากในด้านเทคโนโลยีและทักษะ นอกจากนี้ยังต้องการความเข้าใจในแนวกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับเทคโนโลยี

ส่วนการกระจายอำนาจนั้นในขณะที่ส่งเสริมความโปร่งใสและการควบคุมของผู้ใช้ ท้าทายรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิมที่อาศัยการควบคุมข้อมูล ธุรกิจจำเป็นต้องพิจารณาคุณค่าของตนใหม่และหาวิธีใหม่ๆ ในการสร้างคุณค่า ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้เป็นผู้ควบคุมข้อมูลเอง ธุรกิจอาจต้องจูงใจผู้ใช้ให้แบ่งปันข้อมูลหรือสร้างมูลค่าด้วยวิธีอื่น เช่น ปรับปรุงบริการหรือผลิตภัณฑ์

การนำสัญญาอัจฉริยะมาใช้สามารถทำให้กระบวนการเป็นไปอย่างอัตโนมัติและคล่องตัว แต่ยังทำให้เกิดคำถามทางกฎหมายและข้อบังคับอีกด้วย จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสัญญาอัจฉริยะผิดพลาด? คุณจะมั่นใจในการปฏิบัติตามในระบบการกระจายอำนาจได้อย่างไร? เหล่านี้เป็นคำถามที่ธุรกิจจำเป็นต้องตอบเมื่อนำสัญญาอัจฉริยะมาใช้

โดยสรุปแล้ว การเปลี่ยนผ่านไปสู่ Web 3.0 จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในรูปแบบธุรกิจ เทคโนโลยี และกรอบความคิด อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ความไว้วางใจของลูกค้า และโอกาสในการสร้างมูลค่าใหม่ๆ นั้นสามารถมีมากกว่าความท้าทายได้ ในขณะที่ธุรกิจต่าง ๆ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เพียงแค่อยู่รอดเท่านั้น แต่ยังเติบโตในยุคสมัยของ Web 3.0

Web 3.0 Technologies Enhancing Business Efficiency

Web 3.0 เป็นมากกว่าแนวคิดเชิงทฤษฎี เป็นการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริงซึ่งหลายธุรกิจได้เริ่มนำมาใช้ การทำความเข้าใจว่าบริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการผสานรวมเทคโนโลยี Web 3.0 ได้อย่างไร สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและบทเรียนอันมีค่าสำหรับผู้อื่นที่ต้องการเดินตามรอยเท้าของพวกเขา เรามาเจาะลึกถึงกรณีการใช้งานบางส่วนกัน

1. De Beers: กับการเพิ่มความโปร่งใสด้วย  Blockchain

De Beers Successfully Tracks First Diamonds from Mine to Retail on Industry Blockchain Fintech Schweiz Digital Finance

De Beers บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรข้ามชาติ ได้นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาสำคัญในอุตสาหกรรมเพชร นั่นคือการขาดความโปร่งใส บริษัทได้พัฒนา Tracr ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Blockchain ที่ติดตามการเดินทางของเพชรจากเหมืองไปยังผู้บริโภค แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเพชรทุกเม็ดมีแหล่งที่มาและการผลิตอย่างมีจริยธรรม ซึ่งช่วยเพิ่มความไว้วางใจของผู้บริโภค

ประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงนี้มีมากมาย เมื่อ De Beers สามารถเพิ่มความโปร่งใส ก็นำมาซึ่งการเพิ่มความไว้วางใจของผู้บริโภค และสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย การพัฒนา Tracr จำเป็นต้องมีการลงทุนด้านเทคนิคจำนวนมากและการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ  รวมถึงผู้ผลิตเพชรคู่แข่ง

บทเรียนจากการเปลี่ยนแปลงของ De Beers เน้นความสำคัญของการทำงานร่วมกันของผู้มีส่วนได้เสียในการพัฒนาระบบ Blockchain และศักยภาพของ Blockchain เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความไว้วางใจ

2. Salesforce: ปรับเปลี่ยนการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Salesforce ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ได้รวม AI เข้ากับแพลตฟอร์มของตนเพื่อปรับปรุงการบริการลูกค้าและประสิทธิภาพการดำเนินงานผ่าน Einstein ฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของบริษัทใช้การเรียนรู้ของ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและให้ข้อมูลเชิงลึกเชิงคาดการณ์และเชิงกำหนด ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด

Einstein ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้เปลี่ยนเกมสำหรับ Salesforce และลูกค้า โดยอำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่เป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การผสานรวม AI ยังกำหนดให้ Salesforce จัดการกับข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและตรวจสอบให้แน่ใจว่าอัลกอริทึมของ AI นั้นยุติธรรมและโปร่งใส กรณีศึกษาของ Salesforce นั้นช่วยตอกย้ำศักยภาพของ AI และ ML เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจและการบริการลูกค้า นอกจากนี้ยังเน้นถึงความจำเป็นในการพิจารณาข้อพิจารณาด้านจริยธรรมในการใช้งาน AI ด้วย

3. AXA Insurance: การประกันภัยด้วยสัญญาอัจฉริยะ

AXA บริษัทประกันภัยระดับโลก เข้าสู่ขอบเขตของสัญญาอัจฉริยะด้วย Fizzy ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาการชดเชยอัตโนมัติสำหรับเที่ยวบินล่าช้า ผลิตภัณฑ์ได้รับการสนับสนุนโดยสัญญาอัจฉริยะบน Blockchain ที่จะเรียกชำระเงินให้กับฝ่ายประกันหากมีการบันทึกความล่าช้าเกินสองชั่วโมง นวัตกรรมนี้ขจัดความจำเป็นในการยื่นคำร้องและการดำเนินการด้วยตนเอง

ในขณะที่ Fizzy ให้บริการที่ราบรื่นและเป็นมิตรกับลูกค้า แต่ AXA ยังเผชิญกับความท้าทายในแง่ของการรับรู้ของลูกค้าและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ กรณีของ AXA แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสัญญาอัจฉริยะ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการความชัดเจนด้านกฎระเบียบและการให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับบริการบน Blockchain

ศักยภาพของ Web 3.0 ยังสามารถขยายไปไกลกว่ากรณีเหล่านี้ โดยครอบคลุมภาคส่วนต่าง ๆ  ตัวอย่างเช่น ในการดูแลสุขภาพ  Blockchain สามารถให้การจัดการข้อมูลผู้ป่วยที่ปลอดภัย ทำให้มั่นใจได้ถึงความเป็นส่วนตัว เช่นข้อมูลความลับของผู้ป่วยและการใช้งานข้อมูลร่วมกัน ถัดมาคือในด้านการเงิน เมื่อผนวกกับการกระจายอำนาจสามารถก่อให้เกิดการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ซึ่งให้บริการทางการเงินโดยไม่ต้องมีคนกลาง 

จากข้อมูลของ World Economic Forum ภายในปี 2027 คาดการณ์ว่า 10% ของ GDP โลกจะถูกเก็บไว้ในเทคโนโลยี Blockchain  โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

Transforming Business Models with Web 3.0

แม้ว่าการเปลี่ยนไปใช้ Web 3.0 จะสร้างโอกาสสำหรับธุรกิจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงแบบใหม่ที่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเตรียมการจัดการเชิงกลยุทธ์

1. ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี

การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่น  Blockchain และ AI อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงได้ ซึ่งรวมถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการปรับขนาด การทำงานร่วมกัน และความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น  Blockchain สาธารณะแม้ว่าจะมีความปลอดภัย แต่ก็มักจะมีปัญหาด้านความสามารถในการปรับเปลี่ยน หรือขยายตัวกับระบบงานที่นำไปใช้โดยจำกัดความสามารถในการจัดการธุรกรรมจำนวนมากให้รวดเร็ว นอกจากนี้ AI และ ML ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอคติทางระบบอัลกอริทึม ซึ่งการตัดสินใจโดย AI อาจเลือกปฏิบัติต่อผู้ใช้บางกลุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากยังขาดความเข้าใจในตรรกะความคิดของมนุษย์ หรือจะพูดว่า ซื่อตรงไร้ความรู้สึก ไร้การโออ่อน ผ่อนผัน อะลุ่มอะล่วย

2. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ กฎหมาย การกำกับควบคุม

แนวกฎหมายและระเบียบข้อบังคับสำหรับเทคโนโลยี Web 3.0 โดยเฉพาะ Blockchain ยังคงอยู่ในช่วงพัฒนา หากผู้ประกอบการธุรกิจที่เข้ามาในพื้นที่นี้ต้องผ่านข้อบังคับด้านกฎระเบียบที่ซับซ้อนและมักไม่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น การใช้สัญญาอัจฉริยะแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังมีการถูกตั้งคำถามทางกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้ซึ่งความยากลำบากทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและผู้ใช้งาน

3. ความเสี่ยงด้านองค์กรและวัฒนธรรมสังคม

การเปลี่ยนไปใช้ Web 3.0 ยังแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในรูปแบบธุรกิจและโครงสร้างองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่การต่อต้านจากภายใน พนักงานอาจต้องปรับตัวอย่างมากหรืออาจถึงขั้น “Un-Learn, Re-Learn” ต้องได้รับการฝึกทักษะใหม่ๆ และปัญหานี้ก็จะเกิดกับฝั่งของผู้ใช้งานได้เช่นกัน ดังนั้นภาคธุรกิจอาจต้องทบทวนคุณค่าที่เรานำเสนอนี้ใหม่ เพราะประเด็นที่กล่าวมาถือเป็นความท้าทายที่สำคัญ

Benefits of Web 3.0 and Blockchain for Businesses

แม้ว่าจะเป็นการยากที่จะระบุตัวเลขที่เกี่ยวกับการเพิ่มมูลค่าที่สามารถสัมผัสได้จากการปรับใช้เทคโนโลยี Web 3.0  ที่ส่งผลต่อธุรกิจแบบดั้งเดิม (เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับธุรกิจและอุตสาหกรรมเฉพาะ) แต่ก็มีประเด็นสำคัญบางประการที่พอจะสามารถตีเป็นการเพิ่มคุณค่าได้ นั่นคือ

1. ประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

เทคโนโลยี Web 3.0 เช่น AI, บล็อกเชน และสัญญาอัจฉริยะสามารถทำให้กระบวนการเป็นไปโดยอัตโนมัติและกำจัดตัวกลาง ซึ่งนำไปสู่การประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก การศึกษาโดย Accenture ประเมินว่าอุตสาหกรรมการธนาคารสามารถลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ 30% ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Accenture, 2019)

2. การเติบโตของรายได้

เทคโนโลยี Web 3.0 สามารถเปิดใช้งานรูปแบบธุรกิจใหม่และแหล่งรายได้ ตัวอย่างเช่น โมเดลธุรกิจแบบกระจายศูนย์สามารถเปิดโอกาสให้มีการทำธุรกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์โดยตรง ซึ่งช่วยให้ธุรกิจได้รับมูลค่ามากขึ้น Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 บล็อกเชนจะสร้างมูลค่าธุรกิจต่อปีมากกว่า 175 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 (Gartner, 2020)

3. เพิ่มความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมของลูกค้า

ความโปร่งใส ความปลอดภัยของข้อมูล และการควบคุมผู้ใช้เป็นหลักการสำคัญของ Web 3.0 ที่สามารถเพิ่มความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้อย่างมาก การศึกษาโดย Label Insight แสดงให้เห็นว่า 94% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะภักดีต่อแบรนด์ที่นำเสนอความโปร่งใสอย่างสมบูรณ์

4. อรรถประโยชน์ของข้อมูลได้รับการพัฒนามากขึ้น

Web 3.0 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพยูทิลิตี้ของข้อมูลผ่านระบบที่เชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้ นำไปสู่การตัดสินใจที่มีข้อมูลมากขึ้นและผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้น ตามรายงานของ IBM ธุรกิจที่ใช้ AI บล็อกเชน และข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มผลกำไรได้โดยเฉลี่ย 6.3 จุดเปอร์เซ็นต์ (IBM, 2018)

แม้ว่าสถิติเหล่านี้จะให้ภาพรวม แต่การเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ  รวมถึงประเภทของธุรกิจ อุตสาหกรรมที่ดำเนินการอยู่ ขอบเขตของการนำ Web 3.0 ไปใช้ และการจัดการการเปลี่ยนแปลงนั้นดีเพียงใด อย่างไรก็ตาม ศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าผ่านการนำ Web 3.0 มาใช้นั้นมีมากมายและมีการบันทึกไว้อย่างดีในเอกสารที่มีอยู่

Blockchain Networks: Economic Impact and Potential

ในบทความก่อนหน้านี้เราได้อธิบายไปแล้วว่า ระบบ Blockchain เป็นระบบการทำงานแบบ Peer-to-Peer หรือไม่ต้องผ่านคนกลาง โดยใช้ระบบสัญญาอัจฉริยะที่โปร่งใสและตรวจสอบได้แบบ Real Time ซึ่งเมื่อนำไปใช้กับระบบธุรกิจ เช่นการเงินการธนาคาร ระบบขนส่ง ระบบ Supply Chain การใช้ชีวิตประจำวัน การปกครอง และอื่น ๆ

Key Takeaway

Understanding Blockchain Fundamentals

ในปี 2022 Global Market Size ของ Blockchain Technology มีมูลค่าประมาณ $11.14B แต่เราพบว่าได้มีการคาดการณ์มูลค่าในปี 2030 เอาไว้ โดยหลาย ๆ Reserch Firm ตาราง

หมายเหตุ: GDP ประเทศไทยมีมูลค่าราว 505.9 billions ต่อปี

Types of Blockchain

ระบบของ Blockchain นั้นแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกัน การเข้าใจประเด็นดังกล่าวจะช่วยให้เราเลือกใช้หรือ เลือกลงทุนได้ดีขึ้น

รูปภาพที่ 12: Type of Blockchain

Public Blockchain

Public Blockchain เป็นเครือข่ายแบบเปิดที่กระจายอำนาจซึ่งอนุญาตให้ทุกคนเข้าร่วมโดยไม่ต้องขออนุญาต  Public Blockchain ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ Bitcoin และ Ethereum ซึ่งการเปิดให้เข้าถึงและใช้ผู้ลงฉันทามติจำนวนมาก ส่งผลดีด้านความโปร่งใส แต่ส่งผลลบต่อด้านประสิทธิภาพ ตัวอย่างได้แก่

Bitcoin

Bitcoin เป็นเทคโนโลยี Blockchain ที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก สร้างขึ้นในปี 2009 โดย Satoshi Nakamoto นามแฝง ได้สร้างระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer to Peer ที่ไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานกลางใดๆ  Blockchain ของ Bitcoin รักษาบัญชีแยกประเภทสาธารณะของธุรกรรมทั้งหมด ใช้การเข้ารหัสและการพิสูจน์การทำงานเพื่อให้ฉันทามติกระจายและป้องกันการใช้จ่ายซ้ำซ้อน Bitcoin เป็นรากฐานสำหรับนวัตกรรม Blockchain ที่ตามมาทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกการใช้ Blockchain สำหรับ Cryptocurrency และการชำระเงินแบบกระจายอำนาจ Bitcoin ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยมีมูลค่าตลาดปัจจุบันมากกว่า $350B

Ethereum

Ethereum เปิดตัวในปี 2015 และแนะนำสัญญาอัจฉริยะที่ตั้งโปรแกรมได้สำหรับ Blockchain  ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและปรับใช้ Application แบบกระจายศูนย์บน Blockchain ได้ Ethereum ยังเปิดใช้งาน Token และวางรากฐานสำหรับการระดมทุนผ่าน Initial Coin Offering (ICO) สำหรับกลุ่ม Start-up ที่ทำ Project ต่าง ๆ บน Blockchain  Ethereum ได้กลายเป็น Blockchain ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในที่สุดสำหรับ Application ทางการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) มีตั้งแต่ Decentralized Exchange (DEX) ที่เป็นแพลตฟอร์มที่เอาไว้ซื้อขายเหรียญบนโลก Blockchain, Decentralized Lending/Borrowing เป็นแพลตฟอร์มให้คนนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อที่จะกู้เงินออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโลก Blockchain และอื่น ๆ  มูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ใน DeFi ปัจจุบันมีมากกว่า $27B

นอกเหนือจาก Public Blockchain ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมี Public Blockchain ตัวอื่น ๆ อีก ได้แก่ Litecoin, Cardano, Polkadot, Solana ที่ยังคงมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง

Private Blockchain

Private Blockchain Network นั้นจะเน้นไปที่ประสิทธิภาพ ประหยัด และปลอดภัย โดยจะลดทอนด้านความโปร่งใส่โดยจำกัดสิทธิ์เข้าถึง หรือ จำนวนผู้ตรวจสอบ ตัวอย่างได้แก่

  • Hyperledger Fabric: Private Blockchain Framework แบบ Open Source ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย นำเสนอสถาปัตยกรรม Modular และ Algorithm ที่มีประสิทธิภาพที่เรียกว่า Kafka ทำให้สามารถขยายขนาดได้สูง อนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ  ตั้งค่า Private Blockchain ด้วยการกำกับดูแลและการอนุญาตที่กำหนดเอง
  • Corda ของ R3: Private Blockchain Platform ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องมีการควบคุมความปลอดภัยเข้มงวด เช่น การเงินและการประกันภัย ใช้วิธี “Need-to-Know” ที่อนุญาตให้มีการแบ่งปันข้อมูลการทำธุรกรรมแบบเลือกได้ระหว่างผู้เข้าร่วมเครือข่าย

Blockchain ส่วนตัวอื่น ๆ : รวมถึง Hyperledger Sawtooth และ Quorum บริษัทใหญ่ๆ เช่น Walmart, Nestle, Amazon และ American Express ได้นำ Blockchain ส่วนตัวไปใช้ในแอปพลิเคชันต่าง ๆ

Consortium Blockchain

โดยหลักการแล้ว Consortium Blockchains Network เป็น Blockchain Network ที่การผสมข้อดีระหว่างความโปร่งใสเต็มรูปแบบของ Public Blockchain Network และ ประสิทธิภาพของ Private Blockchain Network ตัวอย่างได้แก่

  • Quorum: พัฒนาโดย JP Morgan Chase Quorum เป็น Platform ที่ช่วยให้กลุ่มปิดของหน่วยงานเช่นธนาคารสามารถจัดการเครือข่าย Blockchain ร่วมกันได้

Corda & Hyperledger Fabric: แม้ว่า Platform เหล่านี้ยังสามารถใช้สำหรับ Blockchain ส่วนตัว แต่ก็สามารถกำหนดค่าสำหรับการตั้งค่ากลุ่ม Blockchain แบบกลุ่มที่หลายหน่วยงานมีการควบคุมร่วมกันผ่านเครือข่าย

Hybrid Blockchain Network

Hybrid Blockchains Network ให้ความสมดุลระหว่างความโปร่งใสแบบ Public Blockchain และประสิทธิภาพและการควบคุมของ Private Blockchain  แต่สามารถปรับแต่งได้สูง ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกคุณสมบัติที่สอดคล้องกับกรณีการใช้งานเฉพาะและสภาพแวดล้อมด้าน Regulate ได้ดีที่สุด ตัวอย่างได้แก่

  • PlatON:  Blockchain แบบ Hybrid ที่ใช้ Public Blockchain สำหรับการทำธุรกรรม crypto ในขณะที่เชื่อมโยง private sidechains ที่องค์กรต่าง ๆ  ใช้สำหรับการโอนสินทรัพย์ supply chain และอื่น ๆ 
  • XinFin:  Platform ที่รวมคุณสมบัติของ blockchain ทั้งแบบ public และแบบ private
  • Polkadot และ Cosmos:  Platform แบบ Hybrid ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อระหว่าง blockchain ต่าง ๆ  ได้

ความเห็นของผู้เขียน

หากมองด้วยข้อมูลที่มีในปัจจุบัน Public Blockchain มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดและมีประเด็นติดขัดมากที่สุด เนื่องด้วยผู้ใช้งานที่คับคั่ง ในขณะที่ Blockchain Network ประเภทอื่น ๆ  มีการใช้งานตามลักษณะประเภทต่าง ๆ กันไปตามประเภทธุรกรรม ในขณะที่ฝั่ง Regulator ยังทำงานต่อเนื่องเพื่อออกแบบระบบการควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งเป็นจุดที่แต่ละประเภทของ Blockchain Network ต้องปฏิบัติตามในอนาคต

แต่หากเรามองว่า ระบบ Blockchain Network นั้น เป็นระบบปฏิบัติการที่วางอยู่บนระบบ Internet เป็น ระบบ software platform แบบหนึ่งที่พัฒนาเพื่อให้ระบบ Software องค์กรและบุคคลทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว แปลว่าในอนาคต Public Blockchain จะมี Network Effect ที่มากที่สุดด้วยจำนวนผู้ใช้งานและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุด ในขณะที่ระบบอื่น ๆ  ก็จะมีการใช้งานมากขึ้นตามแต่รูปแบบงานขององค์กร และ Concept ของแต่ละ Network นั้นสามารถนำมาปรับประยุกต์ใ้ชร่วมกันเพื่อเพิ่ม Features ใช้งานได้ หรือ Heterogeneous Mix

หลังอ่านบทความนี้จบ ผู้เขียนเชื่อว่าในมุมผู้ประกอบการ ท่านจะมีความรู้ความเข้าใจมีความสามารถที่จะเลือกประเภทของระบบที่เหมาะสมกับกิจการของตน ในขณะที่มุมมองการลงทุน ระบบ Public Blockchain ถือว่ามี Total Addressable Market หรือ TAM ที่สูงที่สุดและน่าสนใจที่สุด

Blockchain Adoption in Europe

ในหัวข้อก่อนหน้าผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องประเภทของ Blockchain Network ได้แก่

  • Public Blockchain Network
  • Private Blockchain Network
  • Consortium Blockchain Network
  • Hybrid Blockchain Network

เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณสมบัติในการใช้งานและประเภทของธุรกรรมที่จะนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งในมุมองของผู้เขียน มีความคิดเห็นดังนี้

  • Blockchain นั้นเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่จะมี Impact เหมือนที่ Internet มี Impact ต่อโลกเรา
  • เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีหม่ ใน phase แรก จะเริ่มต้นในลักษณะของ Ideal Concept
  • จากนั้น เมื่อได้รับการพิสูจน์ด้วยการใช้งานในวงจำกัด และพบว่าให้ผลลัพธ์ที่ดี ก็จะเกิดเป็น Hype Period
  • เมื่อมี Lesson Learn มากพอและมีระบบควบคุมจาก Regulator มากพอก็จะเข้าสู่ Mass)
  • Adoptionดังนั้นจากนี้ไป การมองหา Real Sectors ที่นำเทคโนโลยีไป Implement จริงและเกิดเป็น New Business จริงๆ จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
  • เพราะ Blockchain Technology นั้นถือเป็น Infrastructure ท่ีสำคัญและจะคงอยู่ไปอีกนับสิบปี

ผู้เขียนอนากให้มองย้อนไปถึง ภาคประชาชน ภาครัฐและภาคเอกชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในระบบ Internet ยุคแรก ในบทบาทต่าง ๆ กันว่า ได้รับ Impact เช่นไร เช่น ประเทศที่ปรับตัวได้ก่อน ได้รับประโยชน์ใดต่อประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน หน่วยธุรกิจที่เป็นผู้นำ เช่น Facebook, Google, Amazon มีการเติบโตเช่นไร และในมุมผู้ลงทุนนั้นได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างไร

ในบทความนี้ ผู้เขียนมีจุดประสงค์ที่จะแสดงให้ผู้อ่านได้เห็นว่า ในกลุ่มประเทศยุโรป ที่ถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีมติร่วมกันว่า Blockchain ถือเป็นเทคโนโลยีแห่งความหวังที่จะช่วยให้ประเทศสมาชิกสามารถ เข้าสู่ยุคของอุตสาหกรรมใหม่ได้นั้น มีความคืบหน้าเช่นไร เดินผ่านเส้นทางใดจนมาถึงระดับที่เป็นกลุ่มประเทศผู้นำด้านการ “ประยุกต์ใช้” เทคโนโลยี Blockchain เข้ากับชีวิตประจำวันได้

EU Blockchain Adoption Overview

ในช่วงกุมภาพันธ์ ปี 2018 EU Commission ได้มีการเริ่ม Pilot Project คือ The EU Blockchain Observatory and Forum ขึ้นมา โดยทำตามมุมมอง ที่ได้พบเห็นว่า Blockchain technology สามารถสร้างประโยชน์แบะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้

ในช่วงแรก Project นี้ถูกกำหนดให้มีอายุ 2 ปี แต่เนื่องจากผลลัพธ์ที่ออกมานั้นประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก จึงได้มีการขยายกรอบเวลาออกมา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเริ่มต้นของทางประเทศสมาชิก EU และผลงานที่ออกมาเป็นที่ประจักษ์ของ Project ว่ามีมากเพียงใด

คำถามที่น่าสนใจเรื่องแรกคือ อะไรคือ องค์ประกอบที่ทำให้ EU ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ?

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Bradford ที่เกิดจากการรวบรวม Articles วิจัยต่าง ๆ  พบว่า ปัจจัยหลัก ๆ นั้นประกอบด้วย 3 ประเด็น

  1. ปัจจัยด้านสถาบันหลัก คือ ภาคประชาชน สถาบันการศึกษาและรัฐบาล เรื่องของความสามารถในการปรับตัวของประชาชน เป็นที่ทราบกันดีถึงคุณภาพการศึกษา และแนวคิดของประชาชนในบริเวณดังกล่าว ดังนั้นประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งนโยบายนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
  2. ด้านภาคธุรกิจ โครงสร้างทางธุรกิจของยุโรปนั้น มีโครงสร้างด้านธุรกิจเทคโนโลยีทันสมัย รวมถึงฝั่งลงทุนที่ทราบกันดีถึงภาคการเงินของยุโรปโดยเฉพาะการเงินและธนาคาร
  3. ด้านโครงสร้าง ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
รูปภาพที่ 13: University of Bradford - Overview of Blockchain Adoption in EU

Diagram ด้านบนคือ ภาพรวมของ Blockchain Adoption และ Transformation ของกลุ่มประเทศ EU

เราจะพบว่า ด้านหน่วยงานกำกับและสนับสนุนหลักของการปรับใช้และพัฒนาด้าน Blockchain ใน EU มีการให้ความร่วมมือค่อนข้างสูง โดยเฉพาะ 5 ด้านหลักได้แก่

  • Data Security และ Privacy
  • Geography-Specific Regulations (ยกตัวอย่างเช่น EU Data Protection Directive, US Patriot Act)
  • Industry-Specific Regulatory Issues (ยกตัวอย่างเช่น HIPPA, GLBA, FDA)
  • Internal/External Audit
  • Internal Controls และ Financial Report
รูปภาพที่ 14: Top 5 Area of regulation in greatest need of modification of facilitate adoption of Blockchain and Digital Assets

รูปภาพที่ 15: Top 5 Digital Asset Roles to Organization

อ้างอิงจากเอกสารของ The EU Blockchain Observatory and Forum ทางหน่วยงานให้ความสำคัญเรื่องการปรับพัฒนาด้านโครงสร้างเทคโนโลยี และ การสนับสนุนจากภาครัฐ จะเห็นการแบ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้เป็น 9 กลุ่ม ตามระดับการปรับตัวเข้ากับ Innovative Technology of Europe นี้

รูปภาพที่ 16: การจัดหมวดหมู่กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาในด้าน Blockchain ว่าอยู่ในระดับไหน Source: EU Blockchain Forum: Ecosystem Report

โดย Schematic Development Plan ของ EU นั้น แบ่งออกได้ เป็นส่วนที่ได้เริ่มดำเนินการจนประสบความสำเร็จ

  • GDPR (General Data Protection Regulation) on Blockchain: ในขณะที่ EU ได้เพิ่มความเข้มงวด ด้าน Data Privacy และ Human Rights แต่ Blockchain กลับมีแนวทางที่แตกต่าง จึงได้มีการพัฒนากฏระเบียบให้สอดคล้องกัน
  • การบริการสาธารณะผ่านระบบ Blockchain: ตัวอย่างเช่น ระบบ NFTs ในด้านข้อมูลการแพทย์ รวมไปถึง Blockchain Digital Identifying System ที่มาใช้ระบบโหวต ภาษี รวมไปถึงการป้องกันการทุจริต
  • E-Identifying for Public and Private Sectors: ทาง EU มองว่า ระบบธุรกรรม โดยเฉพาะด้านการเงิน การลงทุน จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรหากไม่มีระบบกำกับดูแลและส่งเสริมที่ดีพอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากระบบจะเป็น Fully Decentralized
  • ระบบกฎหมายที่รองรับเรื่องของ Smart Contract ในระบบ Blockchain: ทางหน่วยงานรับผิดชอบ มีมุมมองว่า Application หลาประเภท ที่ส่งผลวงกว้างแต่ระบบกำกับดูแลนั้นค่อนข้างต่ำ ตัวอย่างเช่น DAOs platform การกำหนดระบบกำกับดูแลที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องจำเป็น

ประเด็นที่ จะเป็น Priority ที่จะ Focus ถัดไป ใน Phase นี้ ทาง EU จะมุ่งเน้นไปที่ การนำเทคโนโลยีใช้จริง เพื่อเร่งให้เกิด Mass Adoption ผ่าน Application หรือ Platform ต่าง ๆ  ที่ได้รับการดูแล กำกับ หรือ สนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ  ร่วมกับประยุกต์ Innovative Technology มาช่วย ได้แก่

  • Supply chain and Traceability:
  • Convergence of Blockchain, AI, and IoT
  • Governance and new organizational challenges.
  • Digital assets.
  • Use cases in the healthcare sector

หมายเหตุ: รายละเอียดแต่ละหัวข้อจะถูกนำมาขยายความในบทความต่อ ๆ ไป

Case Studies: Cyprus, Estonia, Malta, Switzerland

Cyprus

ยังคงเป็นหนึ่งใน Blockchain Hotspot ของยุโรป และหลังจากประกาศร่างกฎหมายเพื่อควบคุมเทคโนโลยี Blockchain ในปี 2019 รัฐบาลได้เผยแพร่ร่างกฎหมายเพื่อการปรึกษาหารือสู่สาธารณะในเดือนกันยายน 2021

ไซปรัสยังเป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่เริ่มต้นใช้งาน The European Blockchain Services Infrastructure (EBSI)  ซึ่งทำงานเพื่อพัฒนาการดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ ในมติโครงสร้างพื้นฐาน EBSI แห่งชาติในด้านแนวทางปฏิบัติสำหรับการจัดเก็บภาษีของสกุลเงินดิจิตอลก็กำลังถูกจัดเตรียมโดยกรมสรรพากร ประเทศนี้ไม่เพียงแค่มีหลักสูตรการศึกษาและปริญญาเต็มหลักสูตรเป็นครั้งแรกเท่านั้น วิชาที่เปิดสอนโดยมหาวิทยาลัยนิโคเซีย (UNIC) ตั้งแต่ปี 2014 แต่กำลังมีหลักสูตร Blockchain เพิ่มเติม จัดทำโดย UNIC และสถาบันวิจัยอื่น ๆ

Estonia

เริ่มแรกเอสโตเนียใช้วิธีเปิดกว้างต่อ Blockchain และ Cryptocurrencies โดยเป็นประเทศแรกที่ปรับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เร่งสร้างความแน่นอนด้านกฎระเบียบ ควบคู่ไปกับเร่งสร้างแนวทางแรกเริ่มด้านดิจิทัลของประเทศ และโปรแกรม E-Residency ทำให้สามารถจดทะเบียนบริษัททางไกลได้ ทำให้มีธุรกิจ Blockchain จำนวนมากเกิดขึ้นในประเทศ ในขณะที่ประเทศยังคงเป็นผู้สนับสนุน Blockchain ของภาครัฐ และเป็นกลุ่มประเทศริเริ่มในระดับยุโรป การกระชับนโยบายเชิงบวกและมุมมองเกี่ยวกับ Blockchainและสกุลเงินดิจิตอลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เพิ่มการขยายตัวของภาคเอกชนอย่างรวดเร็ว

Malta

มอลตาได้รับการขนานนามว่าเป็น “เกาะบล็อคเชน” เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในโลกที่มีกฎระเบียบที่ครอบคลุมสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลตั้งแต่ปี 2018 เป็นประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมากในแนวคิดดังกล่าวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นประเทศแรกที่มีการติดตั้งการลงทะเบียนและถ่ายโอน IP บน Blockchain

นอกจากนี้ Malta Gaming Authority เพิ่งประกาศตั้งพื้นที่ Sandbox ที่เน้นสินทรัพย์ดิจิทัล ในขณะที่ Malta Digital Innovation Authority เปิดตัว Sandbox การรับประกันผ่านเทคโนโลยี Blockchain

มอลตาดึงดูดสินทรัพย์และการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี DLT อย่างโดดเด่น และเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุโรปในการดึงดูดเงินลงทุนในด้านนี้ หลังจากที่ University of Malta ได้เปิดตัว Master of Science in Blockchain and DLT ในปี 2019 ก็มีการเปิดตัว Leadership and Management Institute ซึ่งได้เปิดตัวหลักสูตร Blockchain เพิ่มเติมหลายหลักสูตร

Switzerland

“สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในด้าน Blockchain และ Digital Asset”

ไม่เพียงเฉพาะในยุโรปแต่รวมถึงทั่วโลกด้วย มันถูกเรียกว่า “Crypto Nation” และเป็นที่ตั้งของโปรเจคที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง “Crypto Valley” ของ Zug เป็นที่ตั้งของบริษัท Blockchain จำนวนมาก ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด เช่น Ethereum Foundation, Polkadot, Cardano, Solana, Cosmos และ Tezos บริษัทและองค์กรที่ดำเนินงานทั่วประเทศระดมทุนได้มากกว่าประเทศอื่น ๆ  ในขณะที่การประเมินมูลค่ารวมของบริษัทชั้นนำ 50 แห่งนั้นสูงมาก นอกจากนี้สวิตเซอร์แลนด์ยังเป็นที่ตั้งของธนาคาร Blockchain 2 แห่งแรกอย่าง SEBA และ Sygnum โดยได้รับใบอนุญาตการตั้งธนาคารจากหน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของสวิตเซอร์แลนด์สถานการณ์ทางกฎหมายของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโต ได้มีการรายงานฉบับแรกสุดของรัฐบาลกลางที่เผยแพร่ในปี 2018 การวิเคราะห์การบังคับใช้กรอบกฎหมายที่มีต่อบริษัท Blockchain ก็ถูกประกาศ ในปี 2020 โดยรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ผ่านกฎหมายครอบคลุมเทคโนโลยี DLT และปรับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางที่มีอยู่ 10 ฉบับ ในเดือนสิงหาคม 2020 หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากผลบังคับใช้ดังกล่าวคือ ใบอนุญาตสำหรับภาคธุรกิจ หลายมหาวิทยาลัยได้เปิดตัววุฒิการศึกษาที่เน้นเรื่องของ Blockchain หรือหลักสูตรเฉพาะทาง

ความเห็นของผู้เขียน

เราไม่สามารถปฏิเสธศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain ได้อีกต่อไป เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุน Blockchain ต่างก็ดีขึ้นกว่ายุคเมื่อ 10 กว่าปีก่อน สิ่งที่น่าสนใจ คือ เรียนรู้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกฝ่าย โดยเฉพาะภาคประชาชน การทำความเข้าใจแค่ส่วนนี้ ก็สร้างโอกาสให้กับหลายภาคส่วน เช่น ภาคการศึกษาของไทย ไม่เพียงเท่านั้น การเรียนรู้ว่าเหตุใดแต่ละประเทศของประชาคมยุโรปสามารถก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยทำให้ประเทศไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ได้ไวขึ้นเช่นกัน

ในฝั่งผู้ลงทุน กลุ่ม ประเทศที่กล่าวมา ก็มีบริษัทชั้นนำตั้งอยู่ ซึ่งการทำความรู้จักบริษัทดังกล่าวจะมีความน่าสนใจกว่าบริษัทที่ตั้งในประเทศที่บริบทไม่เอื้อต่อการขยายตัว และ เป้าหมายถัดไป นั่นคือ Mass Adoption ที่ เทคโนโลยีจะเข้าไปผนวกกับ Real Sector จริง

Switzerland's Blockchain Ecosystem

Key Metrics:

  • บริษัท 50 อันดับแรกของ Crypto Valley มีมูลค่ารวม อยู่ที่ $185B ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2022
  • มูลค่าหุ้นบริษัท 50 อันดับแรก มีมูลค่าอยู่ที่ $9.7B ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2022 เพิ่มขึ้น 55% จาก $6.3B ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2021 (YoY)
  • การจ้างงานทั้งหมดโดยหน่วยงาน Blockchain ทั้งหมดใน Crypto Valley มีจำนวน 5,766 ตำแหน่ง ลดลง 4% ในปี 2021 ในขณะที่การจ้างงานโดยบริษัท 50 อันดับแรกเพิ่มขึ้น 24% จาก 1,010 เป็น 1,248 ตำแหน่ง

Introduction

จุดเริ่มต้นของ Blockchain ในสวิตเซอร์แลนด์นั้น เกิดขึ้นที่เมือง Zug หรือ “Crypto Valley” ที่ล้อไปกับ Silicon Valley นั่นเอง และ Zug ยังเป็น One of The First and Most Mature Blockchain Hub ของโลก ไม่เพียงแค่เป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวนมาก แต่บริบททั้งภาครัฐ การศึกษา กฏระเบียบและภาคประชาชน ก็ล้วนเกื้อหนุนต่อกัน

ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ทำไมถึงมี Valuation สูงถึง $185B ได้ และมีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอะไรอยู่บ้าง รวมถึงบทบาทของภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคประชาชนเป็นอย่างไร

รูปภาพที่ 17: Crypto Valley’s Top 50 Valuation and Funding
รูปภาพที่ 18: Unicorns

ใน Crypto Valley มีบริษัทที่เป็นระดับ Unicorn ถึง 9 บริษัทด้วยกัน โดยที่บริษัทเหล่านี้ถูกประเมินว่ามีมูลค่ามากกว่า $1B ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทเอกชนจำนวน 2 บริษัทและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำ Blockchain Platform 7 บริษัท ตามตารางด้านบน

ประวัติของ Crypto Valley แห่ง Zug

Crypto Valley เติบโตจากความพยายามของบุคคลและส่วนรวม ทำให้กลายเป็นศูนย์กลาง Blockchain ชั้นนำระดับโลก จุดกำเนิดของมันเกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อ Bitcoin Suisse ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขาย Bitcoin ตั้งรกรากในเมือง Zug ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อธุรกิจอยู่แล้ว การหลั่งไหลเข้ามาของบริษัทผู้บุกเบิก รวมถึง XAPO และ Ethereum และการยอมรับการชำระเงินด้วย Bitcoin ในเมือง Zug ในปี 2559 ทำให้ Crypto Valley อยู่บนแผนที่โลกอย่างมั่นคง

กระแส ICO ที่ตามมาระหว่างปี 2016-2017 ดึงดูดโครงการต่าง ๆ ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของสวิส (FINMA) วางแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจนในปี 2017 กฎระเบียบที่ชัดเจนเหล่านี้ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมด้านกฎหมาย การเงิน และผู้ให้บริการที่ปรึกษาที่กำลังขยายตัว การจัดตั้งธนาคาร Crypto เช่น Sygnum และ SEBA ในปี 2019 ยิ่งตอกย้ำชื่อเสียงของภูมิภาค

ด้วยแรงผลักดันจากการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง จึงมีการประกาศใช้ "กฎหมาย DLT Legislation Act" ที่มีความคิดก้าวหน้า เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่แข็งแกร่งสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแนะนำใบอนุญาตการซื้อขาย DLT ทำให้สวิตเซอร์แลนด์อยู่ในระดับแนวหน้าของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการควบคุม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การควบรวมกิจการกับหน่วยงานทางการเงินแบบดั้งเดิมที่สำคัญและการเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวมเป็นการยืนยันจุดยืนชั้นนำระดับโลกของ Crypto Valley

2022 Crypto Valley’s Highlight

แม้นจะเป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศของตลาดไม่สดใส แต่บริษัทและภาคธุรกิจของ Zug กลับยังมีพัฒนาการที่น่าตื่นเต้น ได้แก่

Technical Progression:

  • การ "ผสาน" ของ Ethereum ที่เปลี่ยนไปใช้ Proof of Stake ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
  • Skale เปิดตัว V2 ปรับปรุงเครือข่ายไฮบริดเพิ่มศฦักยภาพด้าน Scalabiltiy ที่เป็นปัญหาหลักของ Public Blockchain ที่ผู้เขียนเคยอธิบายในบทความก่อนหน้านี้
  • Concordium เปิดตัวการอัปเดต Sirius ปรับปรุงความสามารถของ Smart Contract อย่างก้าวกระโดด
  • Dfinity รวม mainnet ของ Internet Computer เข้ากับ Bitcoin
  • Tezos แนะนำการอัปเกรด Lima โดยปรับขีดความสามารถในการทำธุรกรรมให้เหมาะสม
  • NotaBene เปิดตัว SafePII ปฏิวัติการถ่ายโอนข้อมูลที่เข้ารหัสสำหรับการเดินทาง

Financial Progression:

  • Crypto Finance ร่วมมือกับ BBVA Switzerland ใน "ปั๊มน้ำมัน" เพื่อชดเชยค่าธรรมเนียมของลูกค้า
  • Syngnum บุกเบิกโดยการสร้างศูนย์กลาง metaverse
  • Metaco ขยายฐานลูกค้า โดยขยายการเชื่อมต่อให้ครอบคลุมธนาคารรายใหญ่ทั่วโลก
  • DOT ของ Web3 Foundation ได้รับการรับรองโดย SEC ของสหรัฐอเมริกาว่า เป็น Non-Security Token

Business Progression:

  • Auditchain ขยายการเข้าถึงด้วยการซื้อ Areport
  • Thorwallet คว้าอันดับที่หนึ่งในงาน World Blockchain Summit ที่ดูไบ
  • aXedras เข้ารอบสุดท้ายใน Swiss FinTech Award 2022

Partnership:

  • Crypto Finance และ Laevitas ร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงด้าน Data Visualization
  • aXedras และ World Gold Council มีเป้าหมายที่จะแปลง supply chain ของโลหะมีค่าให้เป็นดิจิทัล
  • BridgeTower Capital ร่วมมือกับ Securitize และ Chainlink เพื่อขยายบริการบน Avalanche
  • Velas Network และ GEM Digital Limited ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ

โดยรวมแล้ว ปี 2022 ได้เห็น Crypto Valley ที่มีความหลากหลายนอกเหนือจากบริการทางการเงินเพียงอย่างเดียว ถือเป็นปีแห่งนวัตกรรมและการทำงานร่วมกัน

Crypto Valley's Regulatory Landscape

ชื่อเสียงในด้านสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เหมาะสม ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน

Key Highlights

  • Global Standard: การจัดหมวดหมู่ Token ของสวิตเซอร์แลนด์ได้รับยอมรับและเอาไปเป็นต้นแบบอย่างกว้างขวางทั่วโลก
  • Foundation: การเติบโตบนกรอบการกำกับดูแลที่มั่นคง โปร่งใส และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของธุรกิจ
  • Growing Popularity: กฎระเบียบที่ชัดเจนและมีความคิดก้าวหน้าของภูมิภาคทำให้เป็นศูนย์กลางสำหรับธุรกิจ Blockchain

Regulatory Strengths

  • Proactive approach: สวิตเซอร์แลนด์ปรับกฎหมายที่มีอยู่ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
  • หน่วยงานกำกับดูแลแบบเปิด และเชิงรุกจุดยืนที่เข้มงวดในการต่อต้านการฟอกเงิน ส่งเสริมการเจรจาอย่างเปิดเผยระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานกำกับดูแล

Global Competition

ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เช่น โปรตุเกส ดูไบ และบางส่วนของสหรัฐอเมริกากำลังกลายเป็นคู่แข่ง สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นผู้นำเนื่องจากความปลอดภัย ความโปร่งใส และตำแหน่งศูนย์กลางในยุโรป นอกจากนี้แนวทางการกำกับดูแลตามกรณีของสหรัฐฯ มักจะรอข้อสรุปทางกฎหมายก่อนที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ ในขณะที่สวิตเซอร์แลนด์เสนอทางเลือกนอกเหนือจากกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่มีรายละเอียดมากขึ้นซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2024

Areas for Enhancement

  • ระยะเวลาตอบสนองที่เร็วขึ้นและความโปร่งใสจาก FinTech Desk ของ FINMA
  • แนวทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขาย crypto และ stablecoin
  • ปรับปรุงกระบวนการแลกเปลี่ยน crypto และใบอนุญาตธนาคาร

Employment in Crypto Valley

  • การจ้างงานทั้งหมดในบริษัท Crypto Valley ลดลงเล็กน้อย 4% จาก 6,002 ในปี 2021 เป็น 5766 ในปี 2022
  • อย่างไรก็ตาม การจ้างงานในบริษัท 50 อันดับแรกเพิ่มขึ้น 24% จาก 1,010 เป็น 1248
  • แม้จะมีความท้าทายในภาคส่วนนี้ แต่การเติบโตนี้เป็นไปในเชิงบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท 50 อันดับแรกประสบกับการเปลี่ยนแปลง
  • เราพบว่า 20% ของบริษัทถูกคัดออกจาก 50 อันดับแรกในปี 2021 โดยบริษัทที่เข้ามาใหม่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเชิงพาณิชย์
  • บริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain ที่ใช้งานอยู่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 1,135 จาก 1,128 โดยมีผู้เข้าใหม่ 190 รายและออก 183 ราย แสดงให้เห็นถึงพลวัตของ Crypto Valley ว่ายังคงมีการทำงานอย่างต่อเนื่อง

Universities Engaged in Blockchain

การจัดอันดับมหาวิทยาลัยสำหรับ Blockchain ที่ดีที่สุดในโลก 30 อันดับ มีของสวิตเซอร์แลนด์ติดอยู่ 2 แห่ง คือ the University of Zürich และ the Swiss Federal Institute of Technology (ETH) และระบบการศึกษานั้นยังได้รับการสนับสนุน จากองค์กรต่าง ๆ เช่น the Swiss Fintech Innovation Lab รวมถึงโปรเจคต่าง ๆ  ที่ตั้งอยู่ในประเทศ

Summary

Geoffrey Moore อธิบายถึง Breakout Point ของ Innovation ต่าง ๆ  ที่จะเปลี่ยนจาก Experiment สู่ Adoption ไว้ว่าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ  ไม่เพียงแต่โลกของการเงินเท่านั้น ในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีการผสมผสานเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปด้วย

ด้านอสังหาริมทรัพย์

Blockchain สามารถแปลงคุณสมบัติเป็น Tokenize โดยแบ่งเป็นหลายส่วน อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ แห่ง การทำ Tokenization ของอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องมีการออกใบอนุญาตที่เข้มงวด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม ประเทศดูไบเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อตระหนักถึงศักยภาพของ Blockchain ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเทศดูไบจึงเปิดรับเทคโนโลยีนี้ และเริ่มนำไปใช้อย่างรวดเร็ว

การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญสำหรับ Blockchain  แม้ว่าจะมีปัญหาเช่น FTX และ Terra Luna การเน้นย้ำไม่ได้อยู่ที่ความล้มเหลวของแต่ละบุคคล แต่เน้นที่วิถีโดยรวมของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงจาก Web2 เป็น Web3 ก็ใกล้เข้ามาแล้ว แบรนด์ที่ก่อตั้งแล้ว ตั้งแต่ Prada ไปจนถึง Porsche กำลังเข้าสู่โปรแกรม Metaverse, NFT และ Royalty Program ที่ขับเคลื่อนด้วย Blockchain ซึ่งบริษัท Web2 ที่มีอยู่และได้เริ่มนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปปรับใช้กับตัวเอง อาจเป็นสะพานเชื่อมไปสู่การยอมรับ Blockchain มากขึ้นในอนาคต

Switzerland Blockchain Industry Landscape

Key Takeaway

สวิตเซอร์แลนด์กำลังเข้าสู่ ช่วงเวลาของการนำเทคโนโลยี Blockchain, Web3, Cryptocurrencies และ Tokenized อื่น ๆ  มาพัฒนาและปรับให้เข้ากับ Traditional Business เพื่อนำไปสู่ Mass Adoption Stage

รูปภาพที่ 19 : The Technology-Driven Business Innovation Mode

Sector ที่กำลังพัฒนานั้นมีหลายภาคส่วน โดยหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่

  • การนำอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ระบบ Tokenized
  • ธุรกิจพลังงานยั่งยืน (ESG) ผ่านระบบ Blockchain
  • การส่งเสริมการลดการใช้พลังงานและปรับมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น การ Run ระบบของ Bitcoin หรือการส่งเสริมบริษัทต่างให้เปลี่ยนจาก Proof of Work มาเป็น Proof of Stake
  • ระบบธนาคารและการลงทุนแบบดั้งเดิมกำลังปรับเข้าสู่ระบบ DeFi รวมถึง Insurance
  • ระบบ Logistic และ Supply Chain ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  • บริษัทชั้นนำกำลังปรับตัวจาก Web2 สู่ Web3
  • โดยการเริ่มใช้งาน dApps หรือ Web3 Application เช่น Social media
  • Chat app และ Gaming dApps
  • มีการนำระบบ DAOs มาใช้ในองค์กรและระบบบริหารจัดการใน Applications
  • การพัฒนาระบบ ระเบียบเกี่ยวกับ Tokenization และมาตรฐานความปลอดภัยต่าง ๆ 
  • และสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมาก คือ การปรับระบบต่างที่เหมาะสมให้เป็น Fully On-Chain
รูปภาพที่ 20: Switzerland’s Special Position as 

Introduction

เป็นที่ทราบกันดีว่าหัวใจของ Crypto Valley คือ Zug ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Blockchain Ecosystem ที่ใหญ่ที่สุดและพัฒนามากที่สุดของโลก เราจะพบว่า มีปริมาณ Blockchain Project ต่อจำนวนประชากรมากกว่าที่อื่น จากนโยบายการจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ  ของ Zug ที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีสิ่งแวดล้อมที่สวยงามและคุณภาพชีวิตอันน่าทึ่ง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนจาก Crypto Valley ได้พัฒนาความรู้ในการทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นในการสร้างระบบนิเวศแบบ Proactive และมีการให้การสนับสนุนผู้ก่อตั้ง Start-Up โดยองค์กรภาครัฐ และนักลงทุน ในส่วนของภาคการศึกษาและมหาวิทยาลัยสามารถทำการวิจัยได้เต็มที่และนักศึกษาก็สามารถหางานที่ตรงกับสายการเรียนทำได้หรือเรียนรู้วิธีสร้างกิจการของตนเอง จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นในส่วนนี้ทางผู้เขียนอยากจะให้ผู้อ่านได้เห็นถึงข้อมูลทางสถิติที่เกิดขึ้นกับ Crypto Valley ว่ามีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด ภาพรวมของอุตสาหกรรม Blockchain ในสวิตเซอร์แลนด์ ณ ปี 2022 มีบริษัท Blockchain ใน Crypto Valley 1,135 บริษัท หากนับเฉพาะ Top 50 ก็มีมูลค่าทางการตลาด ถึง 175 Billion Dollars

รูปภาพที่ 21: ภาพรวมบริษัท 50 อันดับแรกใน Crypto Valley โดยแยกแต่ละ Sector
รูปภาพที่ 22: บริษัท 50 อันดับแรกใน Crypto Valley โดยแบ่งแยกตาม Location ที่ได้มีการจดทะเบียนบริษัท

หากแบ่งตาม Location เราพบว่าจาก 1,135 บริษัทนั้น 510 บริษัทจดทะเบียนที่ Zug และ 197 บริษัทอยู่ที่ Zurich และข้อมูลการจ้างงานใน Crypto Valley ณ ปี 2022 พบว่า มีอัตราจ้างงาน 5,766 ตำแหน่ง จาก 1,135 บริษัท Bitcoin Suisse มีจำนวนพนักงานมากที่สุด คือ 308 ตำแหน่ง ในขณะที่ บริษัทอื่น ๆ  จะมีพนักงาน ทำงาน Online จากหลายประเทศ

รูปภาพที่ 23: การจ้างงานใน Crypto Valley แยกตามบริษัทที่อยู่ใน Crypto Valley

Valuation and Funding

ในฝั่งของประเมินมูลค่า เราพบว่าหลังจบช่วง Sale off นั้นการประเมินมูลค่าในแต่ละโปรเจคได้ลดลงจาก $605 B ในปี 2021 สู่ $175B ในปี 2022

รูปภาพที่ 24: การประเมินมูลค่าของบริษัทที่เป็น Blockchain Platform และ Commercial เปรียบเทียบในปี 2021 กับ ปี 2022

ในขณะที่ด้านการพัฒนาของบริษัทยังคงมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงด้าน Funding ที่ยังอยู่ในระดับปกติ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี

รูปภาพที่ 25: มูลค่าของบริษัท 50 อันดับแรกใน Crypto Valley 

Transformational impact of Blockchain technology on strategy and operating processes

หัวข้อสุดท้ายที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงคือ Segment ของ Mechanical Engineering, Healthcare, Pharmaceutical, Logistic, Insurance และ Financial Service ถือเป็นส่วนที่จะได้รับ Impact สูง เป็นเหตุผลที่ Segments ดังกล่าว ได้รับการอุดหนุนมากที่สุด

รูปภาพที่ 26: ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี Blockchain ต่อกลยุทธ์และกระบวนการดำเนินงานของบริษัทในภาคส่วนต่าง ๆ


Additional Research

Avareum Market Outlook: Global Economics


Download the report here




Avareum Market Outlook: Crypto Market Overall


Download the report here



Avareum Market Outlook: Bitcoin Analysis


Download the report here



Avareum Market Outlook: Ethereum Analysis


Download the report here



Avareum Market Outlook: Layer 2 Scaling Solution


Download the report here




Avareum Market Outlook: LSD & LSDFi


Download the report here





Avareum Market Outlook: Real-World Assets (RWAs)


Download the report here





Avareum Market Outlook: Perpetual Protocol


Download the report here




Download PDF

more reports available at https://www.avareumresearch.com/reports/


Disclaimer: Avareum Research is an independent crypto research firm committed to providing unbiased and informative content. While we strive for complete objectivity, it's important to note that the research industry is inherently complex and may be influenced by various factors. To ensure transparency, we disclose any potential conflicts of interest, such as financial sponsorships or investments in the crypto space. Ultimately, all research and analysis provided by Avareum Research is intended for informational purposes only and should not be considered financial advice. Please consult with a qualified professional before making any investment decisions.

© 2024 Avareum Research. All Rights Reserved. This article is provided for informational purposes only. It is not offered or intended to be used as legal, tax, investment, financial, or other advice.

Avareum Research profile image
by Avareum Research

Success! Now Check Your Email

To complete Subscribe, click the confirmation link in your inbox. If it doesn’t arrive within 3 minutes, check your spam folder.

Ok, Thanks

Read More